สถานการณ์โลกในปัจจุบันมีสัดส่วนของคู่รักที่ลดลงและความสำคัญของบทบาททางเพศที่ลดลงทำให้อัตราการเจริญพันธุ์ลดลง การเกิดของประชากรทก็น้อยลงตามไปด้วย
ถึงแม้การมีประชากรน้อยลงจะส่งผลดีคือทำให้ทรัพยากรในโลกเพิ่มขึ้นแต่ในทางกลับกันก็จะส่งผลเสียในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนอายุประชากร
คือมีคนชรามากกว่าคนหนุ่มสาว ซึ่งจะส่งผลกระทบตามมา เช่น ใครจะแบกรับค่าใช้จ่ายในการรักษาผู้สูงอายุที่เจ็บป่วย ใครจะดูแลคนชรา
เมื่อเกิดปัญหานี้ หลายประเทศก็พยายามหาวิธีแก้ไข เช่น สหราชอาณาจักร ชดเชยอัตราเจริญพันธุ์ที่ต่ำด้วยการเปิดรับคนต่างชาติเข้ามาอยู่ในประเทศ แต่เมื่อถึงจุดที่ทุกประเทศต่างก็มีประชากรลดลง
วิธีการนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป รวมไปถึงสิงคโปร์สิงคโปร์เป็นประเทศที่ถูกยอมรับในการจัดการบริหารประเทศ ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี
ถึงแม้ช่วงนี้ เศรษฐกิจของสิงคโปร์ก็ตกอยู่ในภาวะถดถอยอย่างมาก GDP มีแนวโน้มที่จะหดตัว 12.6% ในไตรมาสที่สองเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนซึ่งนับว่า
“ลดลงมากที่สุดเป็นประวัติการณ์” ก็ตามแต่ก็ยังคงมีนโยบายของรัฐออกมาเรื่อยๆเมื่อวันที่ 5 ต.ค. 2563 นายเฮง สวี เกียต (Heng Swee Keat) รองนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์
มองเห็นปัญหาที่ประชากรไม่กล้ามีลูกในช่วงการระบาด มองว่า นี่เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเผชิญกับความไม่แน่นอนกับรายได้
เพราะ โควิด -19 ทำให้พ่อแม่บางคนที่ต้องการเลื่อนแผนการเป็นพ่อแม่ของพวกเขาออกไปทางรัฐบาลจึงมีนโยบายจ่ายเงินให้กับพ่อแม่ที่ต้องการมีลูกในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา
เพื่อสร้างแรงจูงใจและสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่เผชิญกับแรงกดดันทางการเงินและกังวลเกี่ยวกับงานของพวกเขา แต่ทางรัฐบาลยังไม่ได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดการจ่ายเงินในนโยบายนี้ข้อมูลสถิติล่าสุดออกมาเปิดเผยว่า
สิงคโปร์มีอัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ขณะนี้อัตราการเจริญพันธุ์อยู่ที่ 1.14 คนแรกเกิดต่อผู้หญิงตามสถิติของประเทศ อยู่ในระดับเดียวกับฮ่องกง
มีเพียงเกาหลีใต้และดินแดนเปอร์โตริโกของสหรัฐฯเท่านั้นที่มีอัตราที่ต่ำกว่า ภาวะเจริญพันธุ์ต่ำและประชากรสูงอายุ คือ ความท้าทายของสิงคโปร์
ดังนั้นจึงตั้งเป้าหมายในการมีประชากรที่ยั่งยืน รัฐจะสนับสนุนทั้งการเติบโตทางเศรษฐกิจและการอยู่ร่วมกันในสังคมเพื่อให้สิงคโปร์ยังเป็นประเทศที่มีชีวิตชีวาและน่าอยู่
อ้างอิง : CNN Business