ชีวิตดีแล้ว ออกมาสู้ทำไม : คุยกับ ‘ฟ้า’ พรหมศร วีระธรรมจารี” ฟ้าเกิดและเติบโตในครอบครัวที่ได้สิทธิพิเศษ เมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่น จนทำให้เราต้องตั้งคำถามว่า ทำไมต้องเอาตัวเองออกมาเสี่ยงทั้งที่ชีวิต ‘สุขสบาย’ อยู่แล้ว
แต่เจ้าตัวอธิบายว่า “เพราะเราเห็นคนเราไม่เท่ากัน เรายังแตกต่าง คนเท่ากันในที่นี้คือ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรของชาติ รัฐสวัสดิการดีๆ”อ่านบทสัมภาษณ์เต็มๆกับ ‘ฟ้า’ พรหมศร วีระธรรมจารี”
คนมักออกมาเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมเพราะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เป็นอยู่ เช่น ถูกกดขี่จากระบอบ โดนเอารัดเอาเปรียบ แต่ไม่ใช่ ฟ้า พรหมศร วีระธรรมจารี ซึ่งมีครอบครัวที่ไม่ลำบาก และมีชีวิตที่ไม่เดือดร้อน แต่กลับออกมาเรียกร้องซึ่งการเปลี่ยนแปลง
“เคยถามตัวเองเหมือนกันว่าออกมาทำไม ปัจจุบันก็ยังถามอยู่ แต่ทุกครั้งเราจะได้คำตอบว่า เพราะเราเห็นคนเราไม่เท่ากัน เรายังแตกต่าง คนเท่ากันในที่นี้คือ ทุกคนมีสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรของชาติ รัฐสวัสดิการดีๆ”
ฟ้าเล่าให้ฟังว่า เขาเริ่มเห็นความไม่เท่าเทียมจากครอบครัวตนเอง ที่ได้รับอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น เช่น การไปในสถานที่ราชการ ครอบครัวเขามักได้รับการบริการที่ดีและรวดเร็วกว่าคนอื่น เมื่อเห็นความไม่เท่าเทียมมากขึ้น
จนนำไปสู่การตั้งคำถามกับช่องว่างระหว่างชนชั้นของสังคมไทย ทำให้ฟ้าตัดสินใจออกมาต่อสู้เพื่อลดช่องว่างนั้น
“ข้อเสียของสังคมไทยคือช่องว่างทางชนชั้นมันมากไป ทำให้ความ privilege ของชนชั้นสูง เขาจะมีความ privilege เยอะมาก จนทำให้เรารู้สึกว่าบางทีประเทศอาจจะเป็นของเขามากกว่าเป็นของเรา”
“ฟ้าเพิ่งเกิดอุบัติเหตุไม่นานนี้ แล้วเลือกเข้าโรงพยาบาลรัฐ ค่ารักษาพยาบาล 8,000 บาท ถ้าพูดกันตามตรง ราคานี้คือเงินเดือนขั้นต่ำของหลายๆคนเลย ถ้าเราต้องเอาเงินเดือนไปจ่ายทั้งหมด มันไม่โอเคแล้ว”
ปัจจุบันเรื่อง ‘สิทธิพิเศษ’ ที่ชนชั้นนำในสังคมไทยได้รับ โดยเฉพาะที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ถูกหยิบยกมาพูดกันบ่อยครั้งทั้งในโลกออนไลน์และในที่ชุมนุมตั้งแต่เหตุการณ์ปิดเกาะที่ภูเก็ตเมื่อปี ‘62 เรื่อยมาจนถึงการปิดถนนเพราะขบวนเสด็จ
ทำให้มีเสียงพิพากษ์วิจารณ์มากมายในโลกออนไลน์ อย่างไรก็ดีหากย้อนไปเมื่อปีก่อน การพูดถึงประเด็นใดๆที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน ถูกจำกัดอยู่ในกรอบของโลกโซเชียลเพียงเท่านั้นผ่านมาหนึ่งปี กลับมีการพูดถึงสถาบันในที่โล่งแจ้งมากขึ้น
“ย้อนกลับไปไม่มีใครกล้าพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง อย่างมากก็แค่ติดแฮชแท็ก มันเป็นแค่อยู่ในโลกออนไลน์“แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว สิ่งที่จะบอกง่ายๆคือ โครงสร้างแข็งแกร่งแต่สังคมเปลี่ยนแปลง
ปัจจุบันสังคมไทยกล้าพูดเรื่องนี้มากขึ้น สักวันหนึ่งอาจจะในเร็วๆนี้ โครงสร้างก็ต้องปรับตัว แน่นอนว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน”
ฟ้าอธิบายปิดท้ายว่า แม้จะมีการพูดถึงสถาบันมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงในเชิงปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะเมื่อเทียบกับต่างประเทศที่กษัตริย์มีฐานะในเชิงสัญญะ สถาบันในไทยถูกนำไปผูกโยงอยู่กับ ‘ความเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์’
“เรายกให้สถาบันกษัตริย์อุปมาดั่งสมมุติเทวราช แล้วเราเอาไปผูกกับความศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมแยกไม่ออกระหว่างคนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันทำให้เกิดปัญหามากมาย
อย่างปัจจุบันมีการนำพระบรมฉายาลักษณ์มาแอบอ้างในการทำร้ายผู้อื่นโดยมีข้ออ้างว่าจงรักภักดี”“แต่ถ้าถามว่าเราจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ไหม ย้อนกลับไปไม่มีใครกล้าพูดเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างโจ่งแจ้ง
ตอนนี้สังคมเปลี่ยนแปลง โครงสร้างก็ต้องปรับตัว แน่นอนว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะตราบใดก็ตามที่ยังยืนเป็นกระต่ายขาเดียวอยู่ต่อไป ความไม่งดงามย่อมเกิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่สถาบันประชาชนในประเทศ”
ปัจจุบัน ฟ้าได้รับหมายเรียกจากคดีหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์จาก สน. บางเขน ซึ่งล่าสุดวันที่ 21 ธ.ค. เจ้าตัวเข้ารับทราบข้อกล่าวหาแล้ว และจะไปรับทราบอีกหมายเรียกจาก สน.พหลโยธิน ในพรุ่งนี้ (22 ธ.ค.)