วันที่ 12 พ.ย. มีการตรวจยึดยาเค กว่า 11.5 ตัน มูลค่ารวมกว่า 28,500 ล้านบาท ที่โกดัง ต.ท่าข้าม อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา และถือเป็นจำนวนที่มากที่สุดที่เคยจับมาในประเทศไทย
โดยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เปิดเผยว่า แต่ละปีเจ้าหน้าที่ยึดยาเคไม่เกิน 700 กก. เท่านั้น การบุกยึดล็อตใหญ่นี้เป็นผลมาจาก
นายเจเรมี่ ผู้แทนสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรม UNODC ได้แจ้งมายังหน่วยงานไทยว่าจะมีขบวนการลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ
วันที่ 13 พ.ย. ทางเจ้าของโกดังออกมาแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด โดยผู้เช่าขอเช่าเพื่อเก็บเฟอร์นิเจอร์
วันที่ 16 พ.ย. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ออกประกาศอนุญาตจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 2 โดยมีใจความหลักว่า
อนุญาตให้จำหน่ายยาเสพติดในประเภท 2 ได้ เพื่อการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วยในทางการแพทย์ เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์
เพื่อประโยชน์ของทางราชการ และมีไว้ในครอบครองได้เพื่อ เพื่อเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษา หรือ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ
โดยยาเสพติดประเภทที่สอง ประกอบด้วย มอร์ฟีน โคคาอีน โคเดอีน ฝิ่นยา โดยการประกาศดังกล่าวทำให้เกิดคำถามว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับยาเคที่ค้นมีการบุกยึดหรือไม่ เพราะยาเคถูกบรรจุอยู่ในยาเสพติดให้โทษในประเภท 2
18 พ.ย. ตำรวจขยายผลและทราบว่าชายที่เช่าโกดังเป็นคนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือและยังคงหลบหนีอยู่ในไทย
20 พ.ย. จากรายงานของ TheMATTER วิชัย ไชยมงคล เลขาฯ ปปส. แจ้งว่าการที่มีกฎกระทรวงอนุญาตให้จำหน่ายหรือครอบครองเป็นเรื่องบังเอิญ เพราะการเพิ่มกฎกระทรวงใช้เวลาร่างกว่าครึ่งปี
และล่าสุดทางทีมข่าว The Features ได้ติดต่อไปยัง นายเจเรมี่ ผู้แทนสำนักงานป้องกันยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรม UNODC แต่ นายเจเรมี่แจ้งว่าไม่สะดวกให้สัมภาษณ์ข้อมูลเกี่ยวกับยาเคและโทษทางกฎหมาย
ยาเค หรือ คีตามีน (ketamine) ถูกบรรจุเป็นหนึ่งในสารเสพติดประเภท 2 ตามประกาศกระทวงสาธารณะสุข ฉบับ พ.ศ. 2561
ทั้งนี้มีการใช้ทางการแพทย์ เช่น เป็นยาสลบ บรรเทาอาการหอบหืด บรรเทาอาการปวดหลัง หรือใช้บำบัดโรคไบโพล่า เป็นต้น
ทั้งนี้ในปัจจุบัน มีการนำรูปแบบยาผงสีขาวมาเสพ ยาเคจะออกฤทธิ์หลอนประสาทอย่างรุนแรง เมื่อเสพเข้าไปจะรู้สึกเคลิบเคลิ้ม กระบวนการทางความคิด การรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งแวดล้อมทั้งภาพ แสง สี เสียงเปลี่ยนแปลงไป
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ระบุว่า การผลิต นำเข้า ส่งออก ยาเสพติดให้โทษประเภท 2 มีโทษจำคุก 1-10 ปีและปรับ 100,000 -1,000,000 บาท
ถ้าเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น โคคาอีน จำคุก 20 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 2,000,000-5,000,000 บาท หากมีไว้ จำหน่ายหรือครอบครอง จำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
โดยคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 100 กรัมขึ้นไป ถือว่าครอบครองเพื่อจำหน่าย จะมีโทษแรงขึ้น คือ จำคุก 1-10 ปี หรือปรับ 20,000 -200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น โคคาอีน คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกิน 100 กรัม จำคุก 3-20 ปี หรือปรับ 60,000-400,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกิน100 กรัม จำคุก 5 ปี ถึงตลอดชีวิต และปรับ 500,000-5,000,000 บาท
อย่างไรก็ดี จากประกาศล่าสุด ทำให้ผู้ที่มีใบอนุญาตไม่มีความผิด หากจำหน่ายคีตามิน เพื่อการรักษาหรือป้องกันโรคให้แก่ผู้ป่วยหรือสัตว์ป่วยในทางการแพทย์
เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์ เพื่อประโยชน์ของทางราชการ หรือมีไว้ในครอบครองเพื่อ
เพื่อการผลิตยาเสพติดให้โทษในประเภท 3 เพื่อเป็นตัวอย่างเพื่อการศึกษา เพื่อการวิเคราะห์หรือการศึกษาวิจัยทางการแพทย์หรือวิทยาศาสตร์
เพื่อประโยชน์ของทางราชการ หรือเพื่อใช้ประจำในการปฐมพยาบาลหรือกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินในเรือหรือเครื่องบินที่ใช้ในการขนส่งสาธารณะระหว่างประเทศที่จดทะเบียนในราชอาณาจักร
อ้างอิง https://www.oncb.go.th/Home/DocLib19/รวมกฎหมายยาเสพติด2563.pdf
https://www.thairath.co.th/news/crime/1975489https://thematter.co/brief/129007/129007