มหากาพย์ชาบูนางใน กินเนื้อล้วนคิดเพิ่ม 200

มหากาพย์ชาบูนางใน กินเนื้อล้วนคิดเพิ่ม 200

ดราม่าเรื่องนี้เริ่มจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กท่านหนึ่งโพสต์ภาพที่ตนได้เขียนรีวิวในเพจร้านชาบู ชาบู นางใน สาขาพระรามเก้า 43 และมีการตอบกลับของเพจ โดยตนเขียนรีวิวไว้ มีข้อความประมาณว่า ตนเสียความรู้สึกที่เจ้าของร้านขู่จะคิดเงินเพิ่มเพราะกินเยอะเกินไป ร้านไม่ได้กำไรจากตน และลงท้ายว่า “ถ้ามีความคิดแบบนี้อย่ามาเปิดร้านบุฟเฟ่ต์ดีกว่า”

แต่สิ่งที่ทำให้เกิดกระแสคือการตอบกลับของแอดมินเพจร้านที่มีข้อความโดยรวมว่า การทานบุฟเฟ่ต์ คือ ทานหลากหลายไม่ใช่ทานแต่เนื้อ กุ้ง ไม่ทานอย่างอื่นเลย ให้ลูกค้ามาลองเปิดร้าน และคิดว่าไม่ยุติธรรมกับทางร้าน พร้อมขู่ว่า ถ้ายังโพสต์ให้ร้านเสียหายจะใช้กฎหมายตัดสิน

ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้โพสต์ภาพเพื่อถามความเห็นจากชาวเน็ตถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นก็มีชาวเน็ตมาร่วมแสดงความคิดเห็นและแชร์จนเป็นกระแสในโลกออนไลน์พร้อมเกิด #ชาบูนางใน โดยติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับหนึ่งในประเทศไทย โดยมีทั้งความเห็นที่เห็นใจร้านและอีกความเห็นที่มองว่าเป็นสิทธิของลูกค้าในการรับประทานตามความพอใจโดยเฉพาะร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์

กระแสเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆจนทางร้านออกมาชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กเพจ มีเนื้อหาประมาณว่า จากที่ทางร้านได้เข้าไปชี้แจงกับลูกค้าท่านนี้ที่ชอบมาทานเป็นประจำในระยะเวลา 3 ปี และถือว่าลุกค้าท่านนี้เป็นลูกค้าประจำของร้านแต่การที่ลูกค้าทานแต่เนื้อล้วนหรือรวมกุ้งล้วนนั้นขอคิดค่าบริการเพิ่ม จาก 349 บาทเป็น 549 บาท (เพิ่ม200 บาท) และชี้แจงว่าตนไม่ได้ข่มขู่เพียงการตอบกลับของแอดมินนั้นเพราะกลัวว่าร้านจะเสียชื่อเสียงและทำให้ลูกค้าท่านอื่นเข้าใจผิด

ซึ่งการตอบกลับแบบนี้ยังทำให้เกิดกระแสขึ้นไปอีกเพราะบางคนมองว่าการที่มีลูกค้าประจำถือเป็นเรื่องดีและทำไมถึงไม่รักษาลูกค้าแบบนี้ไว้ และอีกประเด็นที่ถูกวิจารณ์กันอย่างมากคือ การคิดเงินเพิ่ม 200 บาท สำหรับลูกค้าที่ทานเนื้อล้วนซึ่งถือเป็นการผิดคอนเซ็ปต์ร้านบุฟเฟ่ต์ที่รับประทานได้ไม่อั้น รายได้น่าจะมาจากการเฉลี่ยกันไประหว่างลุกค้าที่ทานน้อยและทานเยอะ มิฉะนั้นถ้าต้องการการยุติธรรม สำหรับลูกค้าที่ทานน้อยก็ต้องจ่ายไม่เต็มราคาด้วย

และเนื่องจากร้านชาบูนางในเป็นแฟรนไชล์ที่เปิดกันหลายสาขาทำให้ส่งผลถึงร้านชาบูนางในสาขาอื่นที่ถูกเหมารวม เพจเฟซบุ๊กชาบูนางในสาขาอื่นจึงรีบโพสต์เพื่อชี้แจงว่า เป็นร้านอาหารที่เพียงแต่ใช้ชื่อเหมือนกันเท่านั้นแต่ไม่ใช่เจ้าของร้านคนเดียวกัน มีการบริหาร การบริการที่ต่างกัน พร้อมแสดงจุดยืนสาขาของตน ทานได้ไม่อั้นเหมือนเดิม ราคาเท่าเดิม

แต่ถึงแม้บางสาขาจะออกมาชี้แจงแต่มีสาขาหนึ่งที่ได้รับผลกระทบที่สุดคือร้านชาบู ชาบู นางใน สาขาต้นตำรับ (พระราม 9 ซอย 41) ซึ่งถือว่าเป็นสาขาแรกที่คิดค้นสูตรต่างๆ แต่ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะว่าตั้งอยู่ใกล้เคียงกับสาขาที่เกิดเหตุ จนมีบางคนเข้าใจผิดและสื่อบางแหล่งก็ลงเนื้อหาผิด

หลังความเข้าใจผิดนี้ก็ทำให้เกิด #saveคุณลุงวันเลิด ซึ่งคุณลุงวันเลิดคือเจ้าของร้านชาบูนางในสาขาต้นตำรับ ในแฮชแท็กมีคนมาแก่ต่างให้คุณลุงวันเลิด มีการโพสต์ตำแหน่งในแผนที่ชี้แจ้งว่าเป็นเพียงสาขาที่ใกล้กัน และ มีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อ Rinya Nann ที่ออกมาโพสต์ข้อความเล่าถึงคุณลุงวันเลิด โดยเล่าว่าเธอเคยเป็นลูกค้าประจำของร้านชาบูนางในสมัยที่ยังไม่มีแฟรนไชล์ ตอนนั้นจะมีลุณลุงหน้าตาใจดีออกมาต้อนรับลูกค้าเสมอ ด้วยความที่บริการดี ของมีคุณภาพ อร่อย ทำให้มีลูกค้าแน่นร้าน จนมีคนไปขอทำเป็นแฟรนไชล์

ด้วยความที่ตนชื่นชอบจึงไปขอแฟรนไชล์ด้วย(ปัจจุบันคุณRinya เป็นเจ้าของชาบู ชาบู นางใน สาขากัลปพฤกษ์)และกลับพบว่าคุณลุงไม่คิดค่าแฟรนไชล์เลยพร้อมสอนทุกอย่าง และถือคดิให้ลูกค้าทานอย่างเต็มที่และคุ้มค่า คุณลุงถือเป็นบุคคลเบื้องหลังในความสำเร็จของใครหลายๆคน คุณRinyaออกมาโพสต์เพื่อปกป้องคนดีๆแบบลุงที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

(สามารถอ่านโพสต์ฉบับเต็มได้ที่ https://www.facebook.com/100000614559440/posts/3581790975184686?sfns=mo ) ในส่วนของสาขาต้นเหตุ ล่าสุดก็มีคะแนนรีวิวเพจเหลือ 1.2 จาก 5 คะแนนและได้มีการปิดเพจไปในที่สุด

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *