อะไรที่ทำให้คนอเมริกาบางกลุ่มต่อต้านการสวมหน้ากากอนามัย สิทธิอันใดที่พวกเขาใช้อ้างเพื่อปฏิเสธการสวมใส่ ด้วยเหตุนี้ทำให้สหรัฐฯ มีตัวเลขผู้ติดเชื้อมากที่สุดในโลกใช่หรือไม่
เราเห็นสื่อหลายแขนงนำเสนอยอดผู้ติดเชื้อรอบโลก และทุกครั้งเราจะได้เห็นอเมริกานำขบวนมาเป็นอันดับ 1 อยู่เสมอในด้านยอดผู้ติดเชื้อสะสม แถมยังทุบสถิติยอดผู้ติดเชื้อรายวัน (77,000 คนใน 24 ชั่วโมง) ในขณะเดียวกันคลิปต่าง ๆ ก็แสดงให้เห็นว่ายังมีคนอเมริกาอีกไม่น้อยที่ต่อต้านการสวมหน้ากากเมื่ออยู่ในที่สาธารณะโดยอ้างว่าการสวมหรือไม่สวมหน้ากากคือสิทธิของตนตามรัฐธรรมนูญ
โดยบทบัญญัติข้อที่ 1 ของรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ที่ว่าด้วยประชาชนทุกคนมีเสรีภาพในการพูด การนับถือศาสนา การชุมนุมโดยสันติ การนำเสนอข้อมูลข่าวสารและเสรีภาพในการร้องเรียนอำนาจรัฐ
ผู้ต่อต้านการสวมหน้ากากใช้เสรีภาพข้อนี้อ้างว่าการสวมหน้ากากทำให้พูดได้ลำบากซึ่งขัดต่อเสรีภาพในการพูด บ้างก็อ้างว่าการสวมหน้ากากขัดต่อหลักปฏิบัติของศาสนาที่ตนนับถือ และอีกไม่น้อยที่อ้างว่าการบังคับให้สวมหน้ากากขัดต่อหลักสิทธิที่ประชาชนสหรัฐฯมีสิทธิในการเลือกปฏิบัติต่อร่างกายของตน
ถึงแม้ว่าภายหลังนักกฏหมายและนักวิชาการจะยืนยันแล้วว่าเสรีภาพเหล่านี้มีข้อยกเว้นเมื่อการไม่สวมหน้ากากสามารถแพร่เชื้อที่อันตรายต่อผู้อื่นได้ แต่นั่นดูเหมือนจะไม่ได้มีผลอะไรกับคนที่ต่อต้าน ซ้ำร้ายประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังเคยพูดออกสื่อว่า
“การสวมหน้ากากเป็นเรื่องของความสมัครใจ ตัวผมเองก็คงไม่สวมเหมือนกัน” ยิ่งเป็นการสุมไฟความเชื่อของกลุ่มต่อต้าน และยังไม่รวมกับอีกหลายคนที่อ้างว่าการสวมหน้ากากเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ทำให้รับออกซิเจนได้น้อยลง สวนทางกับข้อพิสูจน์ของแพทย์ที่ยืนยันว่าการสวมหน้ากากไม่มีผลต่อการดำรงชีวิต แถมยังยกตัวอย่างการสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลาหลายชั่วโมงขณะทำการผ่าตัดอีกด้วย
วันนี้ยอดผู้ติดเชื้อสหรัฐฯ ใกล้แตะ 5 ล้านคนและมียอดผู้เสียชีวิตกว่า 150,000 ราย โดย 5 อันดับรัฐที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุด ได้แก่1. แคลิฟอเนียร์ 515,686 ราย2. ฟลอริดา 491,884 ราย3. เท็กซัส 454,364 ราย4. นิวยอร์ก 445,619 ราย5. จอร์เจีย 193,177 ราย
คำถามคือ ณ วันนี้สหรัฐฯ “บังคับ” ให้ประชาชนสวมหน้ากากขณะอยู่ในที่สาธารณะแล้วหรือยัง? คำตอบเป็นทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะยังมีบางรัฐที่การสวมหน้ากากเป็นเพียงการ “แนะนำให้ปฏิบัติ” เท่านั้น
ส่วนในรัฐที่บังคับให้สวมหน้ากากก็ยังมีคนอีกจำนวนมากที่ปฏิเสธ ถึงแม้จะมีบทลงโทษสำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน แต่ก็ยังดูเหมือนว่าจะไม่รุนแรงเพียงพอให้คนกลุ่มนี้หันมาสวมมาหน้ากากได้ เพราะมีแต่เพียงการออกใบสั่งให้เสียค่าปรับตั้งแต่หลักสิบจนถึงหลักร้อยดอลลาร์เท่านั้นเอง
เราคงไม่สามารถคาดเดาได้ว่ายอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตในสหรัฐฯจะไปหยุดที่เท่าไร การทบทวนบทลงโทษที่รุนแรงขึ้นจะช่วยได้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ หากผู้ต่อต้านเลือกที่จะสวมหน้ากากตั้งแต่ช่วงแรกของการระบาดเหมือนกับประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ วันนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตอาจน้อยกว่านี้มาก